วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

ปลูกพริกไทยอ่อน นอกฤดู อาชีพทำเงิน น่าสนใจ++

ปลูกพริกไทยอ่อน อีกอาชีพเกษตรทำเงิน..น่าสนใจมาก เพราะพริกไทยอ่อน..มีความต้องการอย่างมากในตลาด เริ่มต้นลงทุนน้อย ใช้แรงงานน้อย สามารถเริ่มต้นทำเป็นอาชีพเสริมก่อน หรือเมื่อชำนาญในการปลูกและขายแล้วก็สามารถทำเป็นธุรกิจครอบครัวได้ ใครสนใจอยากศึกษาหรือลองทำ บางกอกทูเดย์เรามีวิธีการปลูกและคำแนะนำจากเกษตรกรผู้ปลูกพริกไทยขายมาให้ศึกษา…

ปลูกพริกไทยอ่อน นอกฤดู อาชีพเงิน ดูการปลูกพริกไทยขายให้ได้ราคาดีที่ ไร่ดาบบรรพต จังหวัดสุโขทัย โดย ดาบตำรวจบรรพต สิริถาวรวิวัฒน์ เจ้าของไร่ เล่าให้ฟังว่า ในพื้นที่ราบภาคเหนือและภาคอีสาน หลายท่านเข้าใจว่าปลูกพริกไทยได้ยาก จึงได้ทดลองนำพริกไทยมาปลูกลงในกระถาง ในสายพันธุ์ชื่อว่า “พริกไทยซีลอน”

พริกไทยซีลอน มีคุณลักษณะเด่นคือ มีใบและทรงพุ่มใหญ่ ฝักยาว น้ำหนักดี ที่สำคัญเป็นพริกไทยพันธุ์หนัก สามารถเก็บฝักอ่อนจำหน่ายได้เมื่อฝักมีอายุตั้งแต่ 4-6 เดือน ซึ่งถือเป็นข้อดี เพราะสามารถอั้นฝักไปเก็บขายในช่วงเดือนที่พริกไทยมีราคาแพงได้ อีกทั้งพริกไทยสายพันธุ์นี้ไม่ค่อยมีโรครบกวน จะมีปัญหาเดียวในช่วงปลายฝนต้นหนาวคือ ราน้ำค้าง ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการฉีดสารป้องกันเชื้อราทั่วไปก่อนที่จะตัดแต่งกิ่งจากนั้นจึงปลูกลงไร่ ให้ระยะห่าง 2.5 x 2.5 เมตร ให้น้ำโดยใช้ระบบสปริงเกอร์จะดีที่สุด เนื่องจากพริกไทยมีระบบรากตื้นและหยั่งรากหากินแบบแผ่กระจายเป็นวงกลม การให้น้ำแบบสปริงเกอร์จึงช่วยให้พริกไทยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ โดยทางไร่จะให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเย็น ใช้เวลาให้น้ำประมาณ 15-20 นาที

วิธีปรับปรุงดินให้เหมาะสมสำหรับปลูกพริกไทย

ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกที่โคนต้นพริกไทยและใช้ฟางคลุมดินเพื่อให้ดินมีความชื้นสะสมที่นานขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันวัชพืชไม่ให้ขึ้นมาแย่งอาหารพริกไทยด้วย จนกระทั่งพริกไทยมีอายุ 13 เดือน จึงเริ่มแตกตาดอกและให้ผลผลิต แต่จะให้ผลผลิตน้อยเพียงหลักละ 1-2 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น ในปีแรกเราจะยังไม่เน้นให้พริกไทยติดฝัก เพราะทันทีที่พริกไทยแตกตาดอก ติดฝักนั้น พริกไทยจะชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นในปีแรกควรบำรุงต้นดูแลทรงพุ่มให้มีขนาดใหญ่ ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน โดยให้ปุ๋ยทางใบสูตร 20-7-7 ก่อนเพื่อเป็นการเพิ่มไนโตรเจนสร้างยอดและใบใหม่และอีก 7 วันต่อมาก็ค่อยให้ปุ๋ยทางดินสูตรเสมอเป็นการบำรุงต้นต่อไป เมื่อต้นพริกไทยอายุครบ 2 ปี จะเริ่มเก็บผลผลิต โดยเริ่มจากเปิดซาแลนคลุมแปลงออกให้หมด เพื่อให้พริกไทยสัมผัสกับแสงแดด 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเปิดซาแลนนั้นจะเริ่มทำในช่วงต้นฤดูฝน จากนั้นจึงเริ่มจัดการดูแลเช่นเดียวกับในปีแรก คือให้ปุ๋ยสูตรตัวหน้าสูงทางใบ และ 7 วันถัดมาค่อยให้ปุ๋ยสูตรเสมอทางดิน และอีกประมาณ 1 เดือน ถัดมาจึงให้ปุ๋ยสูตรเสมอทางดินอีก 1 ครั้ง

ขั้นตอนและวิธีการขยายพันธ์พริกไทยของไร่ดาบบรรพต

จากประสบการณ์ตรงล้วนๆแบบไม่ปิดบังเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการขยายพันธ์ให้แก่เพื่อนเกษตรกรต่อไป วิธีการขยายพันธ์ที่ทางไร่เลือกใช้คือการปักชำแบบควบแน่นมีวิธีการดังนี้

1.ดินที่เลือกใช้จะเป็นดินดีมีแร่ธาตุอาหารและอินทรีย์วัตถุสูง

2.นำดินใส่ในถุงเพาะชำขนาด2.5×7นิ้วและนำไปวางเรียงกันไว้ในโครงไม้ไผ่ที่จะทำโดมพลาสติกซึ่งเราจะหุ้มปิดในภายหลัง

3.รดน้ำให้ดินชื้นไม่ให้ดินในถุงที่วางเรียงในโดมแห้งเพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชทำงานได้ดี

4.ไปตัดไหลยอดที่เลื้อยยาวๆอยู่ในแปลงปลูกพริกไทยมาตัดโดยตัดเป็นท่อนซึ่งท่อนหนึ่งมีความยาวประมาณ3ข้อ

5นำท่อนพันธ์ไปแช่น้ำยาเร่งรากที่ผสมน้ำเจือจางแล้วประมาณ1ชม.

6.นำท่อนพันธ์ไปปักลงในถุงดินที่เตรียมวางไว้แล้วในโดมโดยปักข้อล่างของท่อนพันธ์พริกไทยจำนวน1ข้อลงไปตรงกลางถุง

7.เมื่อปักเสร็จหมดแปลงแล้วก็รดน้ำจนชุ่มทั้งแปลงจากนั้นไปตัดแผ่นพลาสติกใสให้มีขนาดพอที่จะที่ใช้หุ้มโครงไม้ไผ่ได้พอดี เมื่อตัดได้ขนาดพอดีแล้วก็นำแผ่นพลาสติกใสนั้นมาหุ้มโครงไม้ไผ่ที่เตรียมไว้เพื่อทำโดมพลาสติกครอบต้นพันธ์พริกไทยต่อไป

8.จัดชายพลาสติกที่หุ้มโดมโดยจะต้องปิดให้มิดชิดวิธีการคือใช้จอบถากดินบริเวณรอบๆโดมพริกไทยเพื่อนำมาทับชายพลาสติกไว้ไม่ให้อากาศภายนอกเข้า

9.จากนั้นรออีกประมาณ1เดื่อนครึ่งจึงนำออกจากโดมเพื่อนำไปเลี้ยงต่ออีกประมาณ1เดือนจึงจะสามารถนำลงปลูกในแปลงได้

พริกไทยซีลอน จะให้ผลผลิตสมบูรณ์ที่สุดก็ต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยจะให้ผลผลิตประมาณ 10 กิโลกรัมต่อหลักต่อปี ท่านใดสนใจกิ่งพันธุ์หรือสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกพริกไทยซีลอน สอบถามได้ที่ ไร่ดาบบรรพต บ้านหนองกระทุ่ม หมู่ 7 ตำบลหนองจิก อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย 64160 ไทยติดต่อ087-3152389 ดาบบรรพตและ086-6862584 คุณต้อย

ขอบคุณ เพจพริกไทยซีลอน ไร่ดาบบรรพต,เพจ เกษตกรก้าวหน้า

อาชีพทำเงิน เพาะถั่วงอกขาย กำไรวันละ 10,000 บาท

เพาะถั่วงอกขาย อาชีพน่าสนใจ ที่ทำเงินได้อย่างงาม ดูแลง่ายเพราะระยะเก็บเกี่ยวสั้นมาก เป็นอาชีพสำหรับการเกษตรอีกอย่างที่น่าลงทุน BangkokToday.net เรามีตัวอย่างเจ้าของธุรกิจที่ เพาะถั่วงอกขาย ได้วันละ 20,000 บาท กำไรวันละ 10,000 บาท ต่อเดือนก็ 300,000 บาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีกำไรดีมาก สำหรับใครที่สนใจอยากทำอาชีพทางการเกษตร น่าจะเป็นแรงบันดาลใจได้มากทีเดียว..

คุณเอี่ยม – วันทัสน์ รติขจรพันธุ์ ผู้ที่ยึดอาชีพเพาะถั่วงอกขายมานานกว่า 20 ปี ได้แนวความคิดในเบื้องต้น จากนั้นนำมาปรับใช้ ลองผิดลองถูกและคิดค้นการเพาะถั่วงอกปลอดสารพิษจนสำเร็จ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำวันละ 20,000 บาท

การเลือกเมล็ดถั่วเขียวมาทำถั่วงอก คุณเอี่ยม เล่าให้ฟังถึงขั้นตอนวิธีทำด้วยการเริ่มต้นจากการนำวัดตุดิบ คือ ถั่วเขียวผิวดำ มาผลิตเป็นถั่วงอก เพราะจะงอกได้ดีกว่าถั่วเขียวผิวมัน ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจากพม่า

จากนั้นนำเอาถั่วมาร่อนเศษผงหรือวัตถุแปลกปลอมออก แล้วไปผึ่งลมให้แห้ง นำไปใส่ถังที่เจาะร่องไว้เพื่อระบายน้ำ โดยนำถั่วเขียวผิวดำใส่ลงไปในถังประมาณ 7 กิโลกรัม หลังจากนั้น ลดน้ำโดยนำตาข่ายมาบังน้ำไว้เพื่อไม่ให้น้ำกระแทกถูกเมล็ดแรงเกินไป คุณเอี่ยม บอกว่า วิธีให้น้ำถั่วเขียว คือ รดน้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วันเมล็ดถั่งเขียวจะงอกเป็นถั่วงอกสีขาว อวบอ้วน น่ารับประทาน นำไปขายส่งในตลาดสด

ต้นทุนและกำไรในการทำถั่วงอกขาย

สำหรับต้นทุนการผลิต ใช้ถั่วเขียว 7 กิโลกรัม กิโลกรัมๆละ 35 บาทต่อ1ถัง รวมใช้เงินลงทุนถังละ 245 บาท ได้ผลผลิต 50 กิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 10 บาท โดยได้เงิน 500 บาทต่อถัง ส่งขายวันละ 2 ตัน หรือ 2,000 กิโลกรัม ตกแล้วมีรายได้วันละ 20,000 บาทนั่นคือกำไรประมาณ 10,000 บาท ต่อวัน

คุณเอี่ยม บอกว่า การเพาะถั่งงอกที่สำคัญคือใช้น้ำเยอะมากต้องรดน้ำทั้งวันทั้งคืน และน้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำสะอาด มีคนเคยถาม คุณเอี่ยม ว่าสามารถใช้น้ำประปาได้หรือไม่ คุณเอี่ยม บอกว่าได้แต่ไม่คุ้ม เพราะต้องรดน้ำตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องใช้แหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง ซึ่งต้องนำมาพักในบ่อพักน้ำก่อนจะนำมารดถั่วงอก เพราะบางครั้งน้ำคลองที่ไหลมาอาจจะถูกรดผัก หรือ สวนไร่นา ที่มีสารเคมีบางอย่างไหลรวมมา ดังนั้นจึงต้องมีบ่อพักน้ำไว้เพื่อกรอง ตะกอน สิ่งเหล่านั้นก่อนจะปั้มน้ำขึ้นมานำมาลดถั่วงอกที่เพาะไว้

จากเรื่องราวประสบการณ์ธุรกิจเพาะถั่วงอกของ คุณเอี่ยม – วันทัสน์ รติขจรพันธุ์ คงทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนที่สนใจอยากจะทำอาชีพทางการเกษตร หรืออาหารที่มาจากการทำเกษตร แบบเพื่อสุขภาพ คือปลอดสาร ซึ่งขั้นตอนนั้นจะต้องได้มาจากการขั้นตอนการผลิตที่ปลอดจริงๆ จึงจะสามารถได้ทำราคาได้ดี

โอกาสของตลาดถั่วงอกและข้อคิดก่อนลงมือทำเชิงธุรกิจ

เนื่องจากถั่วงอกมีการบริโภคจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะเป็นทั้งผักแบบกินสด นำไปเป็นส่วนประกอบอาหารหลากหลายและอาหารยอดนิยมราคามหาชนอย่างก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งถั่วงอกยังมีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งทุกคนทราบดี แต่ก่อนที่จะลงมือเพาะถั่วงอกขาย ควรศึกษาหาข้อมูล เช่น

1. ต้นทุนราคาถั่วเขียว และราคาถั่วงอกที่ขาย

2. วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้เพาะถั่วงอกในแต่ละวิธี

3. สำรวจตลาดถึงความต้องการ และลองเปิดตลาดใหม่ๆ รวมถึงวางแผนการทำตลาดด้วย

4. ลองคำนวนต้นทุน กำไร และปริมาณที่ต้องทำจึงจะถึงจุดคุ้มทุน

5. ขีดความสามารถและแรงงานในการผลิต

6. แผนทางออกของธุรกิจเมื่อทุกอย่างไม่เป็นดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งก่อนจะทำธุรกิจอะไรก็ควรต้องมี

ทำธุรกิจต้องมืออาชีพเท่านั้น เพราะธุรกิจแต่ละอย่างมีความอยากง่ายแตกต่างกัน กำไร ต้นทุนต่างกัน ธุรกิจเพาะถั่วงอกขายก็เช่นกัน ถ้าคุณทำจนเป็นมืออาชีพ คุณก็กำไรรวยเป็นเศรษฐีจากการขายถั่วงอกได้เช่นกัน

การทำตลาด เมื่อผลิตได้แล้วหลายๆคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำตลาด หรือหาตลาด เมื่อจะทำเป็นธุรกิจสิ่งที่จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อผลตอบแทนที่ดีนั้นก็คือการขาย เพาะปลูกได้แล้วจะขายที่ไหน เป็นเรื่องที่ต้องคิดไว้ก่อนจะลงมือทำเกษตรนั้นๆ ถั่งงอกก็เช่นเดียวเดียว เพราะว่าเมื่อปลูกอย่างเดียวไม่คิดช่องทางจำหน่ายไว้ ถ้ามีคนทำเยอะแล้ว ได้ผลผลิตออกมาขายไม่ได้หรือสินค้าล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำหรือไม่สามารถมีกำไร ทำให้ต้องขาดทุน ดังนั้นแล้วเกษตรกรยุคใหม่ควรวางแผนการตลาดไว้เป็นอย่างดีก่อนที่จะลงมือทำ หรืออาจจะเริ่มจากน้อยๆ ทำขายในพื้นที่เขตชุมชน ถ้าเริ่มมองเห็นช่องทางหรือมีโอกาสก็ค่อยๆขยายต่อไปก็ได้ เพราะเรื่องการตลาด ขายที่ไหน ส่งที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ก็ยากที่จะมีคนมาแนะนำ และเมื่อเราทำผลิตออกมาดี ออกมาเยอะ ไม่แน่ว่าตลาดจะวิ่งมาหาเองก็ได้ เพราะสมัยนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆก็หากันเจอโดยโลกโซเชียล

ขอบคุณที่มาจาก news.mthai.com

วิธีเพาะเห็ดหลินจือ เห็ดเงินล้าน! โดยกูรูคนไทย

เพาะเห็ดหลินจือขาย อาชีพทำเงิน ; เห็ดหลินจือ มีสรรพคุณทางยาที่เป็นสารแอนติอ๊อกซิแดนช์ มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระลดการเกิดมะเร็ง รวมถึงการป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย จึงทำให้ราคาเห็ดหลินจือสูง สำหรับท่านที่สนใจอยากเพาะเห็ดหลินจือ BangkokToday.Net มีเรื่องราวดีๆและวิธีเพาะเห็ดหลินจือโดยเจ้าของฟาร์มเห็ดหลินจือ ที่ประสบความสำเร็จ

ลุงหยุด แช่มประเสริฐ เจ้าของฟาร์มเห็ด

“เห็ดหลินจือ” ทำให้การแพร่หลายในฐานะเห็ดเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง อาจดูไม่กว้างขวางอย่างเช่น เห็ดภูฎาน เห็ดฮังการี หรือเห็ดโคนญี่ปุ่น (เห็ดยานางิ) ซึ่งคนส่วนใหญ่ เริ่มรู้จักกันดี แต่ในมุมกลับกันสำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น หลายๆคน กลับมามีสุขภาพดีได้อีกครั้ง เหมือนดังเช่น “ลุงยุทธ์” หรือ ชื่อจริง คือ ลุงหยุด แช่มประเสริฐ ซึ่งเป็นเจ้าของ ฟาร์มเห็ดหลินจือและเห็ดเศรษฐกิจอีกนานาชนิดที่ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี รายนี้ จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการจะรักษาตัวเองให้หายป่วยจากโรคต่างๆ ที่รุมเร้า ครั้นเมื่อร่างกายเริ่มแข็งแรงและกลับมาเป็นปกติ แล้วจึงมีความตั้งใจที่จะเผยแพร่ “ตัวยาดี” ให้กับคนอื่นได้นำไปประโยชน์บ้าง จึง ได้เปิดฟาร์มเห็ดหลินจือ ขึ้นมาซึ่งมีการจัดการอย่างเป็นระบบและการผลิตแบบครบวงจรในปัจจุบัน

สุขภาพดีด้วย “เห็ดหลินจือ” ลุงยุทธ์ เล่าว่า ย้อนไปเมื่อ 3-4 ปีก่อนสุขภาพของตนไม่ค่อยดีนัก ป่วยเป็นโรคต่างๆ อยู่หลายโรคด้วยกัน อาทิ เช่น โรคปอด โรคเลือดจาง และภูมิแพ้ เป็นต้น ทำให้ต้องคอยเข้าๆ ออกๆโรงพยาบาล อยู่เสมอ เพื่อไปพบแพทย์ ตามที่นัดอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งได้รู้จัก “เห็ดหลินจือ” จากบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนตัวแล้วตนมีความนับถือในฐานะเป็นอาจารย์ ซึ่งท่านผู้นั้นมีชื่อว่า “อาจารย์โกหย่ง” เป็นชาวไต้หวันซึ่งมาทำฟาร์มเห็ดหลินจืออยู่ที่คลอง 8 แม้จะมีอายุมากแล้ว โดยได้ชื่อว่าเป็นคนอายุยืน และมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก ซึ่งได้แนะนำให้ตนรับประทานเห็ดหลิงจือ เพราะตัวท่านอาจารย์โกหย่งเองก็รับประทานอยู่เป็นประจำ และได้ให้เชื้อพันธุ์ของเห็ดชนิดนี้เพื่อนำกลับมาเพาะเลี้ยงสำหรับไว้รับประทานเองด้วย ผ่านมา 3 ปี กว่าเกือบจะ 4 ปีแล้วหลังจากที่รับประทานเห็ดหลินจือ โดยตนจะต้มเอา “น้ำเห็ด” สำหรับดื่ม เป็นประจำทุกวัน มาโดยตลอด ปรากฏว่าสุขภาพกลับมาเป็นปกติดี ร่างกาย แข็งแรงขึ้น และที่สำคัญคือว่าตอนนี้ตนไม่ต้องไปหาหมออีกด้วย

วิธีเพาะเห็ดหลินจือ

ก่อนหน้าจะมาทำฟาร์มเห็ดหลินจือนั้น ลุงยุทธ์เล่าให้ฟังว่า เดิมตนก็มีกิจการฟาร์มเห็ด (เพาะ และขายก้อนเชื้อเห็ด) อาทิ เห็ดฟาง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดขอน ซึ่งครอบครัวได้เปิดดำเนินการมาหลายปีแล้ว เพราะในเขต อ.วิหารแดง ที่นอกจากจะเคยมีชื่อเสียงในด้านการเลี้ยง “เป็ดไข่” อีกด้านหนึ่งยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่ง “ เห็ดเศรษฐกิจ” โดยมีการเพาะเป็นอาชีพกันอย่างหลากหลายชนิดด้วย และสำหรับเห็ดหลินจือนั้นซึ่งพอหลังจากตนเห็นว่าเพาะไว้รับประทานเองแล้ว จึงได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีผลิตเชื้อเห็ดเพื่อการขยายพันธุ์เป็นการเพิ่มเติม โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเคี่ยววุ้น เลี้ยงเนื้อเยื่อ ทำเองหมดเลยทุกขั้นตอนจนกระทั่งผลิตดอกเห็ดออกมา ซึ่งเมื่อประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วต่อจากนั้นก็เลยขยายผลโดยทำเป็นในรูปของฟาร์มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีโรงเรือนสำหรับผลิตดอก (ขนาดความจุ 8,000 – 9,000 ก้อน) จำนวน 2 โรงจากทั้งหมด 10 โรง ที่มีการเพาะเห็ดอื่นๆ อยู่ในฟาร์มด้วย

การทำก้อนเชื้อเห็ดหลินจือ

ผสมขี้เลื่อยไม้ยางพารา (100 กก.) รำละเอียด (1.5 กก.) ยิปซัมหรือปูนขาว (1กก.)เข้าด้วยกัน นำดีเกลือ (0.2 กก.)หรือน้ำตาลทราย(2กก.) ละลายน้ำแล้วผสมกับขี้เลื่อยให้ทั่วเติมน้ำลงไปให้เป็นฝอย คลุกเคล้าให้เข้ากันดี ตรวจสอบให้มีความชื้นประมาณ 60-65 % โดยการบีบขี้เลื่อยผสมให้แน่นแล้วคลายมือออก ขี้เลื่อยผสมควรจับตัวกันอยู่ได้ แต่ไม่ชื้นจนมีหยดน้ำไหลออกมาและไม่แห้งจนขี้เลื่อยแตกร่วนเมื่อคลายมือ จากนั้นบรรจุในถุงพลาสติกทนร้อน ประมาณ 900 กรัม/ ถุง แล้วอัดให้แน่นพอประมาณ รวบปากถุง ใส่คอขวดพลาสติกดึงปากถุงพลาสติก รัดด้วยยางวง ทำช่องตรงกลางถุงเจาะด้วยไม้แหลม สวมฝาครอบสำเร็จรูปและปิดฝา (ซึ่งรองด้วยกระดาษ) หรือสำลีและปิดทับด้วยกระดาษหรือปิดด้วยจุกแบบประหยัด

การนึ่งก้อนเชื้อ ก้อนเชื้อเห็ดที่เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำไปนึ่งในหม้อนึ่งหรือถึงนึ่ง ไม่อัดความดันแล้วนึ่งเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง นับจากน้ำเดือด โดยสังเกตจากไอน้ำที่พุ่งตรงจากรูที่เจาะไว้ที่ฝาแล้วทิ้งให้เย็น

การต่อเชื้อเห็ด หัวเชื้อเห็ดนั้นจะต้องมีการเขย่าขวดเป็นระยะ และก่อนจะนำมาใช้ 1 คืน ควรจะเขย่า ให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายออก ดึงจุกสำลีลนปากขวดหัวเชื้อที่เปลวไฟเทหัวเชื้อลงในถุงอาหารประมาณถุงละ 20-30 เมล็ดปิดที่ครอบคอขวดไว้ตามเดิม การหยอดหัวเชื้อต้องทำในที่สะอาดและไม่มีลมพัดผ่าน

การบ่มก้อนเชื้อเห็ด นำก้อนเชื้อเห็ดวางบนชั้น ในแนวตั้งหรือแนวนอน ก็ได้ในที่มืดจนเส้นใยเจริญเต็มถุงใช้เวลาประมาณ 1-1 ½ เดือน

การดูแล โรงเรือน ก่อนเพาะเห็ดหลินจือนั้นต้องมีการจัดการที่ดีพอสมควร โดยเฉพาะโรงเรือนควรมุงด้วยหญ้าแฝกจึงจะดี ภายในโรงเรือนก็ควรจะมีหน้าต่างให้เยอะหน่อย เพื่อการระบายอากาศ เพราะเห็ดหลินจือเป็นเห็ดที่มาจากเมืองหนาว จะไม่ชอบอากาศทึบ ชอบอากาศที่ถ่ายเท ดังนั้นตัวโรงเรือนควรจะสูงโปร่ง มีการระบายอากาศที่ดี และก่อด้วยอิฐจะดีกว่าคลุมด้วยซาแลนหรือใช้ผ้ายางคลุม จะทำให้ดอกใหญ่และคุณภาพดีกว่า เทียบเท่ากับที่เพาะในต่างประเทศซึ่งก่อนนำก้อนเห็ดเข้ามาในโรงเรือน ต้องดูแลเรื่องความสะอาดเป็นอย่างดี และไม่ให้มีสิ่งสกปรกไปเปื้อนดอกเห็ดได้ ทางที่ดีควรเทพื้นปูน แล้วเวลาวางก้อนเชื้อในชั้นเพาะไม่ควรวางสูงเกินไปควรจะวางประมาณ 10 ชั้น หรือ 12 ชั้นก็พอ หากมากกว่านั้นจะเกิดแก๊ซมากในโรงเรือนทำให้ร้อน ก้อนเห็ดจะเสียได้ง่าย การให้น้ำ หลังจากที่เปิดดอกแล้วจะให้น้ำวันละ 1 ครั้ง (ราดด้วยสายยาง หรือ พ่นฝอย หรือ สปริงเกลอร์)จนกระทั่งเห็ดเริ่มแก่ สปอร์ก็จะเริ่มออก ถึงตอนนั้นควรจะล้างก้อนให้สะอาดไม่ไห้มีฝุ่นเกาะค้าง แล้วปิดโรงเรือนทั้งหมดโดยใช้ “ผ้ามุ้ง” บุตามหน้าต่างหรือประตูเข้า-ออก ซึ่งจะช่วยป้องกันพวกแมลงศัตรูของเห็ดหลินจือ เช่น แมลงเต่าดำ และตัวไร ที่จะเข้ามาทำความเสียหายแก่ดอกเห็ดได้ จนกระทั่ง “สปอร์” ออกต้องหยุดให้น้ำ หรืออีกกรณี คือ ช่วงดอกเริ่มจะแก่มักมีปัญหา “ราเขียว” ขึ้นที่ใต้ดอก ก็ต้องหยุดให้น้ำเพราะถ้าปล่อยให้ราเขียวขึ้นดอกเห็ดจะใช้ไม่ได้เลย ต้องไม่ให้มีสิ่งปลอมปนอื่นโดยเฉพาะพวกราต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากจะต้องระมัดระวังในการผลิตเห็ดหลินจือ

เทคนิคเพิ่มผลผลิตเห็ดหลินจือ

ลุงยุทธ์ บอกว่า ผลผลิตที่สำคัญของการเพาะเห็ดหลินจือ คือ “สปอร์” ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเราค่อนข้างมากทีเดียวใช้รักษาโรค เช่น ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ – อัมพาต ได้ดีมากสำหรับตัวนี้ มีราคาค่อนข้างแพง (ประมาณ 10,000 – 15,000 บาท/กก.) ซึ่งเมื่อดอกแก่สปอร์จะเริ่มหลั่งออกมา ดูได้จากที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้น(ฝุ่นๆสีน้ำตาลแดง)จะแดงไปหมดทั้งโรงเรือนเลย การเก็บผลผลิตในส่วนนี้ก็จะเก็บได้ 2-3 ครั้งเช่นกัน และจะเก็บเฉพาะจากดอกรุ่นแรกเท่านั้น ซึ่งจากก้อนเห็ด 8,000 – 9,000 ก้อน / โรง สปอร์ที่เก็บได้รวมกันแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1 กก. เท่านั้น อีกทั้งวิธีการจัดการที่ยุ่งยากพอสมควรเหมือนกัน คือ หลังจากเก็บสปอร์มาแล้วต้องนำไปฆ่าเชื้อก่อน จากนั้นจึงบรรจุหีบห่อหรือจัดเก็บรักษา โดยต้องเก็บไว้ในที่อุณหภูมิปกติห้ามใส่ตู้เย็น เพราะจะทำให้เกิดเชื้อราทันที ต้องเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ไห้แมลงต่างๆเข้าไปได้ ซึ่งจะสามารถเก็บได้นานเป็นปี

ผลตอบแทนและตลาดของเห็ดหลินจือ

จากราคาก้อนที่ลุงยุทธ์จำหน่าย 10 บาท /ก้อน ในปัจจุบัน การเพาะเห็ดหลินจือจะเริ่มคืนทุนตั้งแต่เก็บดอกรุ่นแรก พอมารุ่นที่สองจะเริ่มมีกำไรเพิ่มขึ้นและถ้ารุ่นที่สามก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ในส่วนของทางฟาร์มเองนั้นลุงยุทธ์บอกว่า รายได้ที่เกิดจาก “ดอกเห็ด” ซึ่งจะต้องทำให้แห้ง(ตาก) ก่อนจำหน่ายอยู่ที่ราคาประมาณ 1,000 – 3,000 บาท/กก. การเพาะจะทำ อยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง / ปี โดยหลักๆ แล้วลูกค้าประจำจะเป็นชาวไต้หวัน ซึ่งมาซื้อยู่ประมาณ 40-50 กก.ทุกปี ถือว่าเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่จะขายอยู่ที่ฟาร์มไม่ได้นำไปส่งให้พ่อค้าที่ไหน ซึ่งคนที่มาซื้อจะรู้จัดเห็ดหลินจือเป็นอย่างดี ก็จะมาแบ่งซื้อครั้งละ 1-2 กก.บ้าง หรือครั้งละ 1-2 ขีด ก็มี หรืออย่าง “สปอร์” ก็จะมีการนำไปใช้รักษาคนป่วยเป็นอัมพฤกษ์ – อัมพาต เคยมีคนมาขอซื้อจากทางฟาร์มไปบ้างแล้วเหมือนกัน อีกอย่างคือ ตนเองก็จะไว้สำหรับรับประทานเองด้วยเป็นบางช่วง โดยไม่แนะนำเรื่อง “ตลาด” ว่าเมื่อนำไปใช้รักษาคนป่วยที่เป็นอัมพฤกต์ –อัมพาต เคยมีคนมาขอซื้อจากทางฟาร์มไปบ้างแล้วเหมือนกัน แต่จะขอแนะนำจากประสบการณ์ตนเองว่า เน้นให้เอาไปเพาะไว้รับประทานเอง ไว้ใช้ประโยชน์เองหรือถ้ามีคนสนใจก็ได้ขายบ้าง เป็นลักษณะเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่าในอดีตลุงยุทธ์เคยล้มเหลวมาจากธุรกิจของครอบครัวทำมาหลายปี และกลับมากอบกู้สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวได้อีกครั้งเพราะการทำเห็ด ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตโดยแบ่งออกเป็น การผลิตก้อนเชื้อ เห็ดประมาณ 80,000 -100 ,000 บาท ก้อน/ เดือน และการจำหน่ายดอกเห็ดสดจากฟาร์ม อาทิ เห็ดขอน ราคาประมาณ 50-60 บาท /กก. เห็ดฮังการี ประมาณ 35-40บาท/กก. เห็ดลมประมาณ 90-100 บาท/กก.และเห็ดโคนญี่ปุ่น (เห็ดยานางิ) ประมาณ 100-150บาท/กก.เป็นต้น ซึ่งมีผลผลิตขายทุกวันสร้างรายได้อย่างน่าพอใจอีกทั้งให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานเกษตรอำเภอวิหารแดงโดยเปิดเป็นจุดถ่ายทอดความรู้และศึกษาดูงานด้านการเพาะเห็ดสำหรับผู้ที่สนใจ ให้การสนับสนุนเรื่องการรวมกลุ่มเกษตรกรหรือโครงการยุวเกษตรคลื่นลูกใหม่ โดยมีลูกสาวรับหน้าที่เป็นแกนนำเยาวชนในการขยายผลโครางการยุวเกษตรและเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ตามโรงเรียนและชุมชนต่างๆเป็นต้น ทำให้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้มาดูงานอยู่อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งรวมถึงคณะดูงานจากประเทศภูฎานที่ได้เคยเข้ามาที่ฟาร์มด้วย ล่าสุดเพื่อเป็นการเปิดให้ความรู้ด้านการเพาะเห็ดแบบครบวงจรลงยุทธ์จึงเปิดเป็น “โฮมสเตย์” ด้วย สำหรับคนที่สนใจได้เข้ามาพักพร้อมศึกษาเรียนรู้เรื่องการเพาะเห็ดไม่หวงวิชา ให้อีกด้วย

(ที่มา Cr. คู่มือเพาะเห็ดเงินล้าน)

วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

ปลูกใบเตยขาย ปลูกครั้งเดียวเก็บขายได้หลายปี

ปลูกใบเตยขาย ปลูกครั้งเดียวเก็บขายได้หลายปี ใบเตยมีสารพัดประโยชน์ ที่อยู่ใครๆก็รู้จัก พืชใบหอมธรรมดาๆ สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ปลูกครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้นาน นั่นหมายความว่าต้นทุนลดลงเรื่อยๆต่อยอดขาย ความต้องการมีทุกวัน เมื่อเทียบรายได้ไร่ต่อไร่แล้วผลผลิตจะได้สูงกว่าพืชเศรษฐกิจหลายๆชนิด อย่างข้าวเสียอีก เป็นอีกทางเลือกอาชีพเกษตรทำเงิน ที่น่าสนใจมากๆ

ตลาดใบเตย และประโยชน์ ที่ทำให้มีความต้องการสูงทุกวัน

ที่เห็นๆกันแบบชัดชัดเจน แอดมินบางกอกทูเดย์อยากจะนำเสนอถึงความต้องการของใบเตย อาทิ นำมาเป็นไม้ประดับในงานต่างๆ เป็นดอกไม้ไหว้พระ งานพิธี และอื่นๆอีกมากซึ่งในแต่ละวันนั้นใช้ในปริมาณมาก เพราะใช้เสร็จก็ทิ้งซะเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่รวมถึงที่เราเห็นนำมาประกอบเป็นดอกไม้ในพวงมาลัย ตลอดจนใบเตยนั้นเป็นสมุนไพรด้วย ใช้ประกอบอาหาร เช่นขนมหวานต่างๆ แม้แต่มาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร น้ำใบเตย

ประโยชน์ของใบเตย

ใบเตยนั้นใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะ ใบเตย มีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง ใบเตย สามารถช่วยดับกระหาย เนื่องจาก ใบเตย มีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำ ใบเตย สดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม ใบเตย สามารถ รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำ ใบเตย มาตำแล้วมาพอกบน ผิวรากและลำต้น ใบเตย สามารถใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น ใบเตย สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่มนอกจากนี้ ใบเตยหอม ยังช่วยในเรื่องของอาการที่อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้ ใช้ผสมอาหาร , ทำอาหาร , ดับกลิ่น , แก้โรคเบาหวาน และใช้บำรุงหัวใจ น้ำใบเตยกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ดื่มทำให้ชุ่มคอ ใบสามารถนำมาตำพอกโรคผิวหนังและลำต้นและรากใช้ทำยาขับปัสสาวะ

การปลูก ใบเตยหอม (ความรู้เบื้องต้น)

ต้นใบเตยชอบน้ำ พื้นที่เพาะปลูกจึงต้องมีน้ำหมุนเวียนตลอดปี มีร่มเงารำไรให้ต้นเตยไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือตามร่องสวน ตามชายบ่อน้ำ ส่วนการปลูกในพื้นนามีการเตรียมดินคล้ายกับการทำนาแต่ทำเพียงครั้งเดียวก่อน ปลูกเพื่อให้พื้นที่เรียบ ระบบน้ำดูแลง่าย ส่วนทางเดินเข้าเก็บเกี่ยวเตยหอมขึ้นอยู่ตามความสะดวกสบายที่ผู้ปลูกต้อง จัดการและวางแผนเองตามความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกและขนาดพื้นที่ ก่อนปลูกต้องเปิดน้ำเข้าแปลงประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นเตรียมต้นพันธุ์เตยหอมที่แข็งแรงที่มีรากปักลงในแปลง โดยทำเหมือนการดำนา จากนั้นดูแลระบบถ่ายเทน้ำดูแลไม่ให้ต้นที่ปักดำลอยขึ้นมา ทิ้งไว้ 3 เดือน จึงเพิ่มปริมาณน้ำขึ้น หลังจากปลูก 6 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวได้ การเก็บเกี่ยวใช้มีดตัดยอด อย่าเสียดายยอด การตัดยอด 1 ยอด ทำให้เกิดยอดใหม่มากมาย โดยเฉลี่ยตัดไป 1 ยอด จะได้ยอดใหม่ 3-5 ยอด การปลูกโดยใช้วิถีของเกษตรปลอดสาร การใช้สารสกัดจากธรรมชาติต่างๆมาใช้สำหรับการป้องกันศัตรูทางธรรมชาติ จะช่วยเรื่องสุขภาพความปลอดภัยของทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภคด้วย อีกทั้งในระยะยาวจะช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

วิธีการปลูกต้นใบเตย

ต้องคัดเลือกพันธุ์ที่ดีจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต การปลูกเริ่มจากการไถพรวนพื้นที่ที่จะทำการปลูก แล้วขุดหลุม ขนาด 5×5 ซม. ลึก 6-7 ซม. ระยะห่างของแต่ละหลุม ประมาณ 8-10 ซม.เมื่อได้ขนาดของหลุมตามที่ต้องการแล้ว ใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 แล้วตามด้วยมูลหมูขนาดหลุมละ 1 ถ้วย เพื่อเป็นการรองก้นหลุมนำต้นเตยที่เตรียมไว้ลงหลุมปลูกและกลบดินทับ

วิธีการบำรุงต้นเตย

พรวนดินทุกๆ 3-4 เดือน พร้อมใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือสารชีวภาพต่างๆ การให้น้ำจะต้องรดนำเป็นประจำทุกวันให้ดินเกิดความชุ่มตลอดเนื่องจากต้นเตยเป็นพืชที่ต้องการความชื้นมาก

วิธีการเก็บใบเตยเพื่อจำหน่าย

เลือกใบเตยที่สวย โดยใช้มือริใบของต้นเตยออกทีละใบเมื่อได้แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด หรือจะตัดทั้งต้นเลยก็ได้ ราคาในท้องตลาด อาจจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล หรือความต้องการในเทศกาล หรือตามพื้นที่นั้นๆด้วย ซึ่งราคาโดยประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัมขึ้นไป นับว่าน่าสนใจทีเดียว เพราะดูแล้ง่ายกว่าพืชอีกหลายชนิด

การปลูกใบเตยขาย เป็นอาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งใบเตยเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี ต้องใช้สำหรับในงานพิธีต่างๆ หรือเป็นไม้ประดับที่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่ต้องมี นั่นหมายความว่าไม่ใช่แค่มีก็ดี แต่ว่าใบเตยต้องมี ดังนั้นแล้ว BangkokToday.Net เรามองว่าตลาดใบเตยจึงน่าสนใจมากๆ

วิธีการปลูกพริกขี้หนู ให้ได้ผลดี ปลูกขายทำเป็นอาชีพได้

พริกขี้หนู และพริกชนิดต่างๆ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับคนไทยจำนวนมหาศาล เพราะว่าพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหารต่างๆ ส่วนประกอบสำคัญในเครื่องเทศ เครื่องปรุงรส สรรพคุณทางยา ตลอดจนนำพริกไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นๆด้วย ประเทศไทยสามารถปลูกพริกได้ทั่วประเทศ ได้เปรียบประเทศอื่นๆ ในเรื่องความหลากหลายของสายพันธุ์พริก อีกทั้งคนไทยยังนิยมทานพริก นอกจากนี้พริกยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ

โอกาสสร้างรายได้กับการปลูกพริกขาย

พริกขี้หนู และพริกชนิดต่างๆ สามารถปลูกได้ดีในประเทศ มีระยะเวลาให้ผลผลิตนานพอสมควร สำหรับคนที่่ต้องการปลูกไว้บริโภคเองในบ้าน อาจจะปลูกพริกในกระถางหรือปลูกจำนวนไม่กี่ต้นก็เพียงพอต่อความต้องการแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปลูกพริกขาย บางกอกทูเดย์ เราก็ได้รวบรวมข้อมูลการปลูกพริกขี้หนู มาให้ได้ทดลองปลูก หรือใช้เป็นแนวทางได้ แบบสรุปไม่ยาวจนเกินไป เพราะเรื่องการเกษตรจะให้รู้จริง ต้องทำจริง อีกทั้งในอนาคตพื้นที่การเกษตรก็แนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แต่การจะทำเกษตรให้มีกำไรนั้นจะต้องมีการเตรียมตัววางแผนอย่างดี รวมถึงการศึกษาหาข้อมูลต่างอยู่ตลอดเวลาด้วย

พริกขี้หนู ชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ดีปลี ดีปลีขี้นก พริกขี้นก ปะแกว พริก พริกแด้ พริกแต้ พริกนก หมักเพ็ด หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Capsicum flutescens Linn. เป็นไม้พุ่มเตี้ย ต้นมีความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ใบแบนเรียบเป็นมัน ปลายใบแหลม มีดอกสีขาว ผลมีลักษณะกลมยาวปลายแหลมชี้ฟ้า ซึ่งจะต่างจากพริกชี้ฟ้าตรงที่ผลจะชี้ลงพื้นดิน ส่วนขนาดผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผลดิบมีสีเขียว ผลแก่จะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง หรือแดงแก่ และในแต่ละผลจะมีเมล็ดเรียงรายอยู่จำนวนมาก

วิธีการปลูกพริกขี้หนู

พันธุ์พริกขี้หนู หาซื้อได้ไม่ยาก หากต้องการปลูกเชิงการค้าแล้ว ต้องเลือกพันธุ์ที่มีความต้องการสูง อีกทั้งยังเหมาะสมสำหรับพื้นที่เพาะปลูกนั้นๆด้วย ในขั้นตอนเลือกพันธุ์พริกขี้หนูนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะถ้าเลือกพันธุ์ที่ดี มีความต้องการสูง เหมาะสมกับื้นที่เพาะปลูก จะช่วยทำให้ลดต้นทุน และได้ผลผลิตสูงด้วย…เพราะว่า พันธุ์ คือหัวใจสำคัญของการทำเกษตรก็ว่าได้

ขั้นตอนการเตรียมดิน

เริ่มจากการเตรียมแปลงเพาะ ขุดหน้าดิน 15-20 เซนติเมตร (1หน้าจอบ) เตรียมทำเป็นแปลงกว้าง 1 เมตร ผสมปุ๋ยคอกหรือ ปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดินจากนั้นพรวนดินหรือตีดินให้ละเอียดและปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกัน ก่อนหว่านเมล็ดให้ทั่วแปลงหรือหากเลือกปลูกในกระบะเพาะ อาจใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอก (อัตราส่วน 1:1) จากนั้นใช้แกลบหรือฟางข้าวกลบทับบางๆ ก่อนรดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 25-30 วันจึงย้ายปลูกการเตรียมแปลงปลูกและย้ายกล้า ใช้จอบขุดหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร ทำแปลงขนาดกว้าง 1 เมตร x ความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่ จากนั้นนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหว่านให้ทั่วและคลุกเคล้ากับดิน ก่อนขุดหลุมปลูก โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 70 -80 เซนติเมตร

วิธีปลูกพริกขี้หนู รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลุมละ ½ ช้อนชา ทับหน้าปุ๋ยเคมีด้วยปุ๋ยคอกหลุมละ 1 กะลามะพร้าว จากนั้นถอนแยกต้นกล้าอย่างระมัดระวัง โดยการย้ายต้นกล้าลงปลูกควรทำโดยทันทีและเป็นช่วงเย็น จากนั้นนำต้นกล้าลงหลุมปลูก หลุม ละ 1 ต้น จากนั้น รดน้ำตามให้ชุ่ม

วิธีการดูแลรักษา พริกขี้หนู เมื่อปลูกแล้ว

การให้น้ำพริกขี้หนู ควรให้น้ำอย่างพอเพียงและสม่ำเสมอ แต่อย่ารดให้แฉะเกินไปการให้น้ำควรให้ทุกวันหลังจากปลูกจนต้นกล้าตั้งตัวได้ประมาณ 5-6 สัปดาห์ จากนั้นค่อยลดปริมาณน้ำลง ซึ่งอาจจะรด 1 วัน หยุด 2 วัน ก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูสภาพความชื้นของดินด้วย อย่าให้แฉะหรือ แห้งเกิน เพราะจะทำให้พริกชะงักการเจริญเติบโต

การใส่ปุ๋ย ให้บำรุงพริกด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนชา/ต้น ทุกๆ 15-20 วัน โดยโรยห่างโคนต้น 5 เซนติเมตร และรดน้ำตามทันที หรือ จะเลือกใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยหมักชีวภาพประมาณ 1-2 กำมือ/ต้น โรยรอบโคนต้นทุกๆ 20 วันก็ได้

การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ฉีดพ่นน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพทุก 10-15 วันครั้ง จะช่วยบำรุงและป้องกันโรคพืช หรือศัตรูพืชได้อีกทาง

วิธีการเก็บเกี่ยว พริกเป็นพืชที่มีอายุยืนและปลูกได้ผลดีตลอดปี มีอายุเก็บเกี่ยวได้หลัง ย้ายกล้าลงปลูก 60-90 วัน การเก็บเกี่ยวควรเก็บทุกๆ 5-7 วันโดยใช้วิธีเด็ดทีละผล อย่าเก็บทั้งช่อ เพราะผลแต่ละช่อแก่ไม่พร้อมกัน โดยพริกขี้หนูสามารถเก็บได้ยาวนานถึง 6 เดือน

ผลของพริกขี้หนู สรรพคุณและประโยชน์ ใช้ประกอบอาหารได้รสชาติเผ็ดร้อน ส่วนยอดอ่อนนำมาลวกเป็นผักแกล้มน้ำพริกได้ หรือนำไปปรุงอาหารประเภทแกงจืด แกงเลียง มีสรรพคุณทางยาช่วยขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ตานซางในเด็ก มีสาร capsaicin ใช้เป็นส่วนผสมในยาขับลมและขี้ผึ้งทาถูนวด ประโยชน์ของพริกขี้หนูมากขนาดนี้จึงทำให้ตลาดยังมีความต้องการต่อเนื่อง ใครสนใจอยากจะปลูกพริกขี้หนูขายเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ลองลงมือทำ ลองปลูกลองขายกันได้เลย

ขอบคุณ รูปภาพจาก pharmacy.mahidol.ac.th

รูปภาพ โลกอนาคต ในปี2050-3100

มาดูโลกเราในปี 2050-3100 กันครับว่าจะเป็นยังไง

ปี 2050: จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ Los Angeles, San Francisco, และ New York City จะได้รับผลกระทบมากที่สุด.. แต่คนตายไม่มาก

ปี 2100: โลกเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ จะมีเยอะมากๆ โลกเราจะสงบและสันติสุดๆ ไม่มีการก่อการร้าย ไม่มีสงคราม ไม่มีความหิวโหย ไม่มีความตระกะ ไม่มีสิ่งที่เป็นแง่ลบอ่ะ World Peace จะสมบูรณ์ที่สุด และมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆกว่า 300 ปี

ปี 2200: พลังงานสุริยะ จะถูกใช้แทน ไฟฟ้า ใช้แทนน้ำมัน มันจะถูกใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ทุกๆวัน และปี 2200 นี่แหละ ที่โรคเอดส์ และโรคมะเร็ง จะรักษาให้หายได้ คนเราจะมีอายุเฉลี่ยที่ 90 ปี

ปี 2300: ปีนี้.. จะมีลักษณะแบบ... "ไม่มีเสียง" ระบบต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ จะเริ่ม ไร้เสียง.. เงียบ.. การใช้พลังงานนิวเคลียร์ จะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัย การทดลองเกี่ยวกับ สภาพภูมิอากาศ จะเป็นสิ่งที่ "สำคัญ" ที่สุดในยุคนี้ อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะอยู่ที่ 110 ปี

ปี 2400: จะมีสงครามสงเคลียร์ ขนาดเล็ก เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 24

หลังจากนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ขึ้นอีกครั้ง (เกี่ยวกับผิวเปลือกโลก แผ่นดิวไหว สึนามิ ประมาณนี้)

หลังจากนั้น จะไม่มี 2 รัฐบาลที่ปกครองโลก.. จะมีแค่รัฐบาลเดียว เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของคนทั้งโลก เรียกว่า The League of One และจะมีการใช้พลังงานใหม่.. (ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้นิวเคลียร์) มันเป็นพลังงานที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ Cold fusion and other free energy sources are now in use.

ปี 2500: เราจะสามารถ ควบคุม สภาพภูมิอากาศได้ ศตวรรษนี้ จะมีการสร้างหุ่นยนต์ Android (ไม่ใช่โทรศัพท์นะ) ขึ้นมาเป็นคนใช้ของมนุษย์ ทำงานแทนมนุษย์ พวกงานบ้าน งานจิปาถะ

ปี 2600: จะมีการสร้าง เมืองใต้ทะเล Underwater Cities การตัดต่อพันธุกรรมจะมีการทำอย่างเฟื่องฟูในยุคนี้ และจะมีการ เดินทางข้ามดวงดาว ไปๆมาๆ บ่อยๆ ศตวรรษที่ 26 เราจะมีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว อย่างเป็นทางการ ช่วงอายุของมนุษย์ จะสูงถึง 215 ปี ยุคนี้ ผู้คนแทบไม่รู้จักคำว่า ป่วย หรือ การติดเชื้อ การแพทย์จะสมบูรณ์แบบมาก เป็นแบบนี้ไปจนถึง 2700

ปี 2800: รัฐบาล The League of One จะถูกแทนที่ด้วย รัฐบาล The Atlantic and Pacific Federationsรัฐบาลนี้ก็มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน.. เป็นรัฐบาลของคนฝั่งตะวันออก.. ยุคนี้ไม่มีสงครามแล้ว.. (มันคล้ายๆ 2 พรรคการเมืองระดับโลก ผลัดกันขึ้นมาปกครองโลกอ่ะ) และมันจะเป็นอย่างนี้ ไปจนถึง ศตวรรษที่ 31

ปี 3100: เป็นต้นไป เราจะเริ่ม เดินทางท่องกาลเวลาได้ (ไปอดีต ไปอนาคต) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 31 เป็นต้นไป จนถึง ศตวรรษที่ 50

จะมีการเดินทาง ข้ามกาลเวลา ย้อนกลับไปดูอดีตทุกยุค ทุกสมัย ย้อนกลับไปแม้กระทั่งยุคไดโนเสาร์

เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นหลังศตวรรษที่ 31 ได้แก่ (โดยสังเขป):

- จะมีสวนสนุกลอยฟ้า ลอยสูงจากพื้นดินหลายพันฟุต จะมีแรงดึงไม่ให้คนในสวนสนุกตกลงไปด้านล่าง

- จะมี เครื่องทำอาหารตามสั่ง สั่งอะไร ก็กดอันนั้น มันจะทำ จะปรุง ออกมาตามที่เราต้องการเลย

10 มือถือสุดแปลกจากทั่วโลก ที่น้อยคนนักจะรู้จัก

ดูเหมือนว่าตลาดโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันจะพบแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ เพราะไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนยี่ห้อใด ต่างก็มีคุณสมบัติหลักๆ เหมือนกันคือเน้นหน้าจอใหญ่ กล้องสวย บนดีไซน์สีเหลี่ยมผืนผ้าที่รองรับคอนเทนต์ความบันเทิงได้อย่างเต็มอรรถรส จนอาจเรียกได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้เป็นมาตรฐานของการออกแบบมือถือไปแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังเบื่ออยากเห็นอะไรที่ฉีกแนว ในบทความเราก็มี 10 มือถือสุดแปลกที่น้อยคนนักจะรู้ว่ามีอยู่จริงๆ มาให้ทุกท่านได้ชมกัน จะแปลกแหวกแนวแค่ไหนไปดูกันเลยครับ

1. Runcible

เราทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับโทรศัพท์มือถือรูปทรงสีเหลี่ยมกันมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่ต้องรองรับคอนเทนต์ความบันเทิงต่างๆ ที่มาในรูปแบบ widescreen แต่ไม่ใช่สำหรับ Runcible เพราะมือถือรุ่นนี้มาในรูปทรงกลมแบนแบบนาฬิกาพก ไม่มีเหลี่ยมมุมแม้แต่น้อย แถมยังอินดี้สุดๆ ด้วยการรองรับรายชื่อผู้ติดต่อแค่ 12 เบอร์ และจะรับสายหรือโทรออกได้แค่รายชื่อที่บันทึกไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนี้จะต้องติดต่อกันด้วย voicemail อีกทั้งยังไม่มีเสียงแจ้งเตือนใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อให้ผู้ใช้จดจ่อกับกิจกรรมที่ทำอยู่ได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ

Runcible เป็นโปรเจ็คท์สตาร์ทอัพของ Monohm Inc ที่เคยระดุมทุนและเปิด pre-order ไปแล้วเมื่อกลางปี 2016 ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า Runcible จะวางจำหน่ายอีกครั้งในอนาคตหรือไม่

2. Zanco Fly

Zanco Fly คือมือถือระดับล่างราคาถูกจากประเทศจีนที่ผลิตด้วยพลาสติกล้วนๆ ที่ไม่ได้มีฟีเจอร์โดดเด่นอะไร แต่ด้วยขนาดที่เล็กพอๆ กับกุญแจรถและราคาที่ถูกจนเกือบจะแจกฟรี ทำให้มันฮิตมากๆ ในหมู่นักโทษ เพราะสามารถลักลอบนำเข้ามาในคุกได้ด้วยการแอบซ่อนในร่างกายตามจุดต่างๆ แถมแบตเตอรีก็อึดพอประมาณ ไม่ต้องเสี่ยงหาที่ชาร์จบ่อยๆ ให้ผู้คุมสงสัยด้วย

3. Pantone 107SH

เราไม่ค่อยเห็นโทรศัพท์มือถือที่มากับฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเท่าไหร่ เพราะสำหรับผู้ผลิตแล้วมันเป็นการลงทุนที่เสี่ยงมากๆ หากไม่มีอะไรการันตีว่าจะมีคนอยากใช้ฮาร์ดแวร์นั้นจริงๆ แต่ในบางสถานการณ์ฟังก์ชันเฉพาะทางบางอย่างก็จำเป็นสำหรับคนหมู่มากเช่นกัน

หลังจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2011 Softbank ได้เปิดตัว Pantone 107SH โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับเครื่องตรวจวัดกัมมันตภาพรังสีในตัว เพียงแค่กดปุ่มตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ มือถือ Android เครื่องนี้จะทำการตรวจวัดกัมมันตภาพรังสีในบริเวณรอบๆ ทันที โดยจะใช้เวลา 10 วินาทีก่อนจะแสดงผลลัพธ์บนหน้าจอ อย่างไรก็ตาม Softbank ระบุว่า Pantone 107SH มีความแม่นยำในการตรวจวัดเพียง 20% เท่านั้นและไม่แนะนำให้ฝากความหวังไว้กับมันในสถานการณ์อันตราย แต่ด้วยความสามารถระดับนี้ ก็ถือว่าเพียงพอที่จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปหลีกเลี่ยงภัยจากกัมมันตภาพรังสีในชีวิตประจำวันได้

4. Akyumen Holophone

Akyumen Holophone เป็นมือถืออีกรุ่นหนึ่งที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเฉพาะทาง แต่อาจจะไม่แปลกเท่า Pantone 107SH โดยมือถือรุ่นนี้คือแฟ็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว และมีสเปกที่ไม่เลวเมื่อเทียบกับแฟ็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ในช่วงนั้น แต่จุดขายของมันจริงๆ คือโปรเจ็คเตอร์ 35 lumen ด้านหลังตัวเครื่องที่สามารถฉายภาพหน้าจอกว้าง 16 ฟุตบนพื้นผิวทุกประเภท อีกทั้งยังใช้วัสดุตัวเครื่องที่เป็นฉนวนกันความร้อน ช่วยให้ถือตัวเครื่องพร้อมกับใช้งานโปรเจ็คเตอร์ได้เป็นเวลานาน สามารถต่อ video output ผ่านสาย HDMI ได้ และทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10

5. Freedom 251

ช่วงนี้หลายคนเริ่มบ่นว่าสมาร์ทโฟนแพงขึ้นทุกวัน หลายๆ รุ่นเริ่มแตะ 30,000 - 40,000 บาทเข้าไปแล้ว ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากบนโลกใบนี้ยังคงต้องหาเช้ากินค่ำ และเหมือนถูกกีดกันให้เข้าถึงเทคโนโลยียากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้เองผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจากอินเดีย Ringing Bell จึงได้ทลายกำแพงดังกล่าว โดยผลิตสมาร์ทโฟนที่ราคาถูกที่สุดในโลกขึ้นมานั่นคือ Freedom 251 ซึ่งมีราคาค่าตัวเพียง 251 รูปีตามชื่อ คิดเป็นเงินไทยได้ 125 บาท กาแฟบางแก้วยังแพงกว่าด้วยซ้ำ สำหรับสเปกก็ไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใดเมื่อเทียบกับราคา โดยมาพร้อมกับ RAM 1GB ชิปประมวลผลความเร็ว 1.3GHz และกล้องหลังความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล แม้ว่าตัวฮาร์ดแวร์จะมีคุณภาพตามราคาแต่ก็สามารถโทรออก รับสาย เล่นโซเชียล และทำอะไรต่อมิอะไรได้พอๆ กับสมาร์ทโฟนราคาเรือนหมื่นเช่นกัน

6. Siempo

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแต่ละวันเราเสียเวลาไปกับสมาร์ทโฟนมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแอบเล่นเกมเวลาทำงาน หรือการเลื่อนฟีด Facebook ดูนั่นดูนี่อย่างไร้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เราเสียเวลาของเราถูกดูดหายไปโดยใช่เหตุ โปรเจ็คท์ Siempo จึงถือกำเนิดขึ้นบน Kickstarter

Siempo คือสมาร์ทโฟนที่เรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ครบถ้วนทุกการใช้งานที่สำคัญๆ เช่นการโทรเข้าโทรออก การส่ง SMS/MMS อีเมล์ ท่องเว็บ ปฏิทิน แผนที่ กล้องถ่ายภาพ การเชื่อมต่อ Wi-Fi + Bluetooth และพอร์ต USB-C โดยมีการเพิ่มปุ่ม Pause ที่จะบล็อกการแจ้งเตือนทุกอย่างเป็นเวลา 15-60 นาทีตามต้องการ สามารถเรียกแป้นพิมพ์และส่งข้อความได้ด้วยการกดปุ่มโฮม ไม่ต้องเข้าหน้าจอหลัก หลีกเลี่ยงการถูกดึงความสนใจจากไอคอนแอปพลิเคชันบนหน้าจอ อย่างไรก็ตามโปรเจ็คท์นี้ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุน และถูกพับไปอย่างน่าเสียดาย

7. Kyocera Rafre KYV40

ความทนทานเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้าจอที่ทนขึ้น บอดี้ที่แกร่งขึ้น และการกันน้ำ-กันฝุ่น แต่ Kyocera Rafre KYV40 นั้นให้ความสำคัญกับความทนทานในด้านที่แปลกออกไป โดยออกแบบมาเพื่อให้สามารถล้างด้วยสบู่และน้ำยาได้ไม่ต่างจากการล้างจาน หลายคนคงจะสงสัยว่าคุณสมบัติเช็ดล้างได้นี้มีความจำเป็นอย่างไร คำตอบก็คือมันมีความจำเป็นกับเหล่าแม่บ้านที่มักจะทำกับข้าวพร้อมกับดูสูตรการทำไปด้วยนั่นเอง ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ มือของคุณแม่บ้านมักจะเลอะและมีกลิ่นคาวจากการทำอาหารอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาร์ทโฟนเลอะและมีกลิ่นไปด้วยเมื่อใช้งาน นอกจากนี้ในครัวยังมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับสมาร์ทโฟน เพราะมีทั้งความร้อนจากเตา และน้ำจากซิงค์ล้างจาน หากเป็นสมาร์ทโฟนทั่วไปจะทำความสะอาดยากและอาจพังก่อนเวลาอันควรเพราะโดนความร้อนหรือตกน้ำ แต่สำหรับ Kyocera Rafre KYV40 คุณแม่บ้านสามารถหยิบจับใช้งานได้อย่างมั่นใจไม่ต้องกลัวเลอะ เพราะสามารถนำไปเช็ดล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นและน้ำยาได้ในภายหลังนั่นเอง

8. ZTE Hawkeye

เมื่อปี 2016 ZTE ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดังจากจีน ได้ตั้งโปรเจ็คท์ Kickstarter สำหรับสมาร์ทโฟนที่มีคอนเซ็ปต์แหวกแนว ซึ่งสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของสายตาผู้ใช้ (Eye Tracking) และฝาหลังโพลิเมอร์ที่ยึดติดกับผนังได้ ไม่ต้องถือให้เมื่อยมือเวลาดูวิดีโอหรือท่องเว็บ โดยมาพร้อมกับชิป Snapdragon 625 กล้องคู่ด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และ Android 7.0 แต่ดูเหมือนว่าสเปกโดยรวมของ ZTE Hawkeye จะไม่โดนใจผู้ใช้เท่าไหร่ ทำให้ ZTE ตัดสินใจแถลงการณ์ขอโทษและยุบโปรเจ็คท์อย่างรวดเร็ว แต่จะนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมหรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไป

9. NoPhone

NoPhone คือโทรศัพท์มือถือที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือน เพราะจุดเด่นของมันคือ “ทำอะไรไม่ได้เลย” ไม่มีหน้าจอ ไม่มีกล้อง ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากแผ่นพลาสติกเปล่าๆ ฟังก์ชันเดียวของมันคือการเป็นมือถือปลอมๆ ไว้ให้จับแก้เหงามือเพื่อบรรเทาอาการติดสมาร์ทโฟน

NoPhone วางจำหน่ายในราคา $10 หรือราวๆ 320 บาท นอกจากนี้ยังมีรุ่นท็อป(?)ที่มีกระจกหน้าจอเพิ่มมาด้วยในราคา $15 หรือราว 490 บาท ถึงจะแพงไปหน่อยสำหรับแผ่นพลาสติกธรรมดาๆ แต่ดูเหมือนว่าจะขายดีไม่ใช่เล่น

10. Siemens Xelibri 6

ปิดท้ายกันด้วยมือถือสุดแปลกจากอดีต Siemens Xelibri 6 ที่มาในดีไซน์ตลับแป้งสุดชิคเพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้สาวๆ โดยเฉพาะ ในยุคนั้น (ปี 2003) เป็นช่วงที่แบรนด์มือถือต่างแข่งขันกันทำตลาดในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทำให้ต้องพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและแตกต่าง จึงมีมือถือหน้าตาแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย Xelibri 6 คือหนึ่งในนั้น โดยมีจุดขายคือดีไซน์ที่เหมาะกับผู้หญิงสุดๆ แถมยังมีกระจกเงามาให้ในตัว น้ำหนักเบาเพียง 90 กรัมขนาดเล็กกะทัดรัดเก็บไว้ในกระเป๋าถือได้สบายๆ

ที่มา : PCmag